ผู้ประกอบการคงเคยเห็นโฆษณาหรืองานอีเว้นท์ซึ่งเน้นการแสดงออกถึงความรักและความเอื้ออาทรต่อกันภายในครอบครัวหรือคนที่คุณรักกันบ้างแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการบางรายอาจมองว่ากลยุทธ์การตลาดแบบครอบครัวนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์และให้ผลตอบรับที่ตรวจวัดได้ยากเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เลือกใช้กลยุทธ์การตลาดอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลยุทธ์การตลาดแบบครอบครัวมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจมากมาย ทว่าผู้ประกอบการจะต้องไม่คาดหวังว่าจะสามารถสร้างผลกำไรกลับคืนมาโดยทันที แต่ให้มองเป็นเรื่องการลงทุนในระยะยาวจากการตลาดแบบครอบครัวแทน
เมื่อผู้ประกอบการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบการส่งเสริมกิจกรรมสถาบันครอบครัว ผลตอบแทนที่จะได้กลับคืนมามากที่สุดคงจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากเรื่องภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของประชาชนและสังคม อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจุดประสงค์หลักของกลยุทธ์การตลาดแบบครอบครัวนี้มุ่งไปที่การทำกิจกรรมและเสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มลูกค้าเป็นหลัก มิใช่การมุ่งเน้นขายสินค้าเหมือนกลยุทธ์รูปแบบอื่นๆ ซึ่งความใส่ใจในความสุขของลูกค้าำด้วยการตลาดแบบครอบครัวจะช่วยช่วยให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างความภักดีต่อตัวสินค้าหรือแบรนด์ รอยัลตี (Brand Loyalty) ให้เกิดขึ้นตามมาด้วย
บริโภคจำนวนมากตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะความอนุรักษนิยมและการอ้างอิงจากทางครอบครัว เช่น ซื้อเพราะแม่ใช้สินค้าตัวนี้อยู่ ซื้อเพราะที่บ้านใช้เป็นประจำ เป็นต้น ซึ่งตราบใดที่สินค้าตัวนี้ยังสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อยู่ พวกเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปใช้สินค้าตัวอื่นแทนแน่นอน อันเป็นผลเกิดจากอิทธิผลซึ่งได้รับจากคนรอบข้างของลูกค้าหรือครอบครัวและแนวคิดการตลาดแบบครอบครัวนี้ยังถูกจัดว่าเป็น Brand Loyalty อย่างหนึ่งด้วย การใช้กลยุทธ์การตลาดแบบครอบครัวจึงมีส่วนช่วยปลูกฝังค่านิยมและสร้างฐานลูกค้าได้เป็นอย่างดี เช่น ผงซักฟอกที่มุ่งเน้นทำการตลาดแบบครอบครัวโดยเน้นหนักไปที่ “แม่” เนื่องจากเป็นผู้ดูแลทุกคนในครอบครัว ซึ่งลูกๆ มักจำเป็นแบบอย่าง และเมื่อลูกๆ ต้องซื้อผงซักฟอกใช้เองบ้างก็มักจะเลือกตามสื่งที่เคยเห็นแม่ใช่ เพราะมองว่าสิ่งที่แม่ซึ่งเป็นผู้ดูแลครอบครัวเลือกต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว กลยุทธ์การตลาดแบบครอบครัวจึงเป็นการปลูกฝังความคิดให้เปลี่ยนมาเป็นลูกค้าประจำ เป็นการสร้างฐานลูกค้าอย่างแยบยลที่สุดวิธีหนึ่ง